ความหมายของหนังสือราชการ
1. หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ
2. หนังสือที่ส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิ
ใช่ส่วนราชการหรือที่มีไปถึงบุคคลภายนอก
3. หนังสือที่หน่วยงานอื่นใดที่ไม่ใช่ส่วนราชการ
หรือบุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ
4. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ
5. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ
6. ข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือที่ได้รับเข้าจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
ชนิดของหนังสือราชการ
ในปัจจุบันการติดต่อราชการทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานเป็นการสื่อถึงบุคคล/หน่วยงาน
อีกทั้งยังเป็นปัญหาของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจในการใช้ภาษาราชการและแบบฟอร์มที่ถูกต้อง
เพื่อเป็นการสร้างความสำเร็จของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทางด้านหนังสือได้ทราบถึงรูปแบบ
การใช้คำขึ้นต้น คำลงท้ายที่ถูกต้อง
เป็นไปในแนวทางเดียวกันและเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ
พ.ศ. 2526 ได้จำแนกหนังสือราชการไว้มี 6 ชนิด ดังนี้
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายใน
3. หนังสือประทับตรา
4. หนังสือสั่งการ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ
หนังสือภายนอก
หนังสือภายนอก
คือหนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้ตราครุฑเป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการหรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ
หรือที่มีถึงบุคคลภายนอกให้จัดทำตามแบบที่ 1ท้ายระเบียบ
โดยกรอกรายละเอียดดังนี้
1.
ที่ ให้ลงรหัสตัวพยัญชนะและเลขประจำของเจ้าของเรื่อง ตามที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 1ทับเลขทะเบียนหนังสือส่งสำหรับหนังสือของ คณะกรรมการให้กำหนดรหัสตัวพยัญชนะเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็น
2. ส่วนราชการเจ้าของหนังสือให้ลงชื่อส่วนราชการ
สถานที่ราชการหรือคณะกรรมการซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือนั้น
และโดยปกติให้ลงที่ตั้งไว้ด้วย
3. วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือ
4.
เรื่องให้ลงเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับนั้น
ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่องโดยปกติให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม
5.คำขึ้นต้น ให้ใช้คำขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตาราง
การการใช้คำขึ้นต้นสรรพนาม และคำลงท้าย
ที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 2 แล้วลงตำแหน่งของผู้ที่หนังสือนั้นมีถึง
หรือชื่อบุคคลในกรณีที่มีถึงตัวบุคคล
ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่
6. อ้างถึง (ถ้ามี)ให้อ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกันเฉพาะ
หนังสือที่ส่วนราชการผู้รับหนังสือได้รับมาก่อนแล้วจะจากส่วนราชการใดก็ตามโดยให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของหนังสือและเลขที่หนังสือวันที่
เดือน ปี พุทธศักราชของหนังสือนั้น
การอ้างถึง
ให้อ้างถึงหนังสือฉบับสุดท้ายที่ติดต่อกันเพียงฉบับเดียว
เว้นแต่มีเรื่องอื่นที่เป็นสาระสำคัญต้องนำมาพิจารณา จึงอ้างถึงหนังสือฉบับอื่น ๆ
ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะให้ทราบด้วย
7. สิ่งที่ส่งมาด้วย
(ถ้ามี)ให้ลงชื่อสิ่งของ เอกสาร หรือ บรรณสารที่ส่งพร้อมกับหนังสือนั้นในกรณีที่ไม่สามารถส่งไปในซองเดียวกันได้ให้แจ้งด้วยว่าส่งไปโดยทางใด
8. ข้อความ ให้ลงสาระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
หากมีความประสงค์หลายประการให้แยกเป็นข้อ ๆ
9. คำลงท้าย ให้ใช้คำลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตาราง การใช้คำขึ้นต้น สรรพนาม
และคำลงท้ายที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 2
10.
ลงชื่อให้ลงลายมือชื่อเจ้าของหนังสือและให้พิมพ์ชื่อเต็ม
ของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 3
11. ตำแหน่งให้ลงตำแหน่งของเจ้าของหนังสือ
12. ส่วนราชการเจ้าของเรื่องให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง
หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสือ อยู่ในระดับกระทรวง หรือทบวง
ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องทั้งระดับกรมและกองถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกรมลงมาให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพียงระดับกองหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
13.โทร.ให้ลงหมายเลขโทรศัพท์ของส่วนราชการเจ้าของเรื่องหรือ
หน่วยงานที่ออกหนังสือและหมายเลขภายในตู้สาขา (ถ้ามี) ไว้ด้วย
14. สำเนาส่ง
(ถ้ามี)ในกรณีที่ผู้ส่งจัดทำสำเนาส่งไปให้ส่วน ราชการหรือบุคคลอื่นทราบ
และประสงค์จะให้ผู้รับทราบว่าได้มีสำเนาส่งไปให้
ผู้ใดแล้วให้พิมพ์ชื่อเต็มหรือชื่อย่อของส่วนราชการ
หรือชื่อบุคคลที่ส่งสำเนาไปให้เพื่อให้เป็นที่เข้าใจระหว่างผู้ส่งและผู้รับถ้าหากมีรายชื่อที่ส่งมากให้พิมพ์ว่าส่งไปตามรายชื่อที่แนบรายชื่อไปด้วย
ตัวอย่างแบบหนังสือภายนอก
หนังสือภายใน คือหนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก ใช้ในการติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ โดยกรอกรายละเอียด ดังนี้
1. ส่วนราชการ ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง
หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือโดยมีรายละเอียดพอสมควร
ปกติถ้าส่วนราชการที่ออกหนังสืออยู่ในระดับกรมขึ้นไป ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องทั้งระดับกรมและกอง
ถ้าราชการที่ออกหนังสืออยู่ในส่วนราชการที่ต่ำกว่ากรมลงมา
ให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพียงระดับกอง หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่อง
พร้อมทั้งให้ลงหมายเลขโทรศัพท์ (ถ้ามี)
2. ที่ ให้ลงตัวรหัสพยัญชนะและเลขประจำของเจ้าของเรื่อง
ทับเลขทะเบียนหนังสือส่งสำหรับหนังสือของคณะกรรมการให้กำหนดตัวรหัสพยัญชนะเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็น
3. วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน
และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือ
4. เรื่อง ให้ลงเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือฉบับนั้น
ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่อง ให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม
5. คำขึ้นต้นใช้คำขึ้นต้นตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตารางการใช้คำขึ้นต้น
สรรพนาม และคำลงท้าย แล้วลงตำแหน่งของผู้ที่หนังสือนั้นมีถึง
หรือชื่อบุคคลในกรณีที่มีถึงตัวบุคคลไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่
6. ข้อความให้ลงสาระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
และหากมีความประสงค์หลายประการให้แยกเป็นข้อ ๆ
ในกรณีที่มีการอ้างถึงหนังสือที่เคยมีติดต่อกัน
หรือมีสิ่งที่ส่งมาด้วยให้ระบุไว้ในข้อนี้
7. ลงชื่อและตำแหน่งโดยอนุโลมในกรณีที่กระทรวง
ทบวง กรม หรือจังหวัดใดประสงค์จะกำหนดแบบการเขียนโดยเฉพาะ
เพื่อใช้ตามความเหมาะสมก็ให้กระทำได้ในทางปฏิบัติ
ส่วนราชการมักใช้หนังสือประเภทนี้ติดต่อภายในกรมเดียวกันเป็นส่วนใหญ่
หากต้องติดต่อต่างกรมก็มักใช้เป็นหนังสือภายนอก เช่น หนังสือจากสำนักงาน ก.พ.
ติดต่อไปยังสำนักงบประมาณ
ซึ่งสังกัดในสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยกันก็มักใช้หนังสือภายนอก เป็นต้น (สมพร
มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์, ๒๕๔๐ : ๑๒๗)
ตัวอย่างแบบหนังสือภายใน
หนังสือประทับตรา
หนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปเป็นผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตราที่ประทับนั้น หนังสือประทับตราใช้กระดาษตราครุฑ กำหนดหัวข้อไว้ดังนี้
1. ที่ให้ลงรหัสตัวพยัญชนะและเลขประจำเจ้าของเรื่องทับเลขทะเบียนหนังสือส่ง
2. ถึงให้ลงชื่อส่วนราชการ
หน่วยงาน หรือบุคคลที่หนังสือนั้นมีถึง
3.ข้อความให้ลงสาระสำคัญของเรื่องให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
4.ชื่อส่วนราชการที่ส่งหนังสือออกให้ลงชื่อส่วนราชการที่ส่งหนังสือออก
5.ตราชื่อส่วนราชการให้ประทับตราชื่อส่วนราชการด้วยหมึกสีแดง
และให้ผู้รับผิดชอบลงลายมือชื่อย่อกำกับตราที่ประทับนั้น
6.วัน เดือน
ปีให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีที่ออกหนังสือ
7.ส่วนราชการเจ้าของเรื่องให้ลงชื่อส่วนราชการเจ้าของเรื่อง
หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ
8.โทร.หรือที่ตั้ง
ให้ลงหมายเลขโทรศัพท์ของส่วนราชการเจ้าของเรื่อง
ตัวอย่างแบบหนังสือประทับตรา
หนังสือสั่งการ
หนังสือสั่งการมี
๓ ชนิด ได้แก่ คำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ
1.
คำสั่ง คือ ข้อความที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย
ใช้กระดาษตราครุฑ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 คำสั่ง ให้ลงชื่อส่วนราชการ
หรือตำแหน่งของผู้มีอำนาจที่ออกคำสั่ง
1.2 ที่ ให้ลงเลขที่ออกคำสั่ง
โดยเริ่มฉบับแรกจากเลข ๑ เรียงไปตามลำดับ ทับเลขที่ปีพุทธศักราชที่ออกคำสั่ง
1.3 เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ออกคำสั่ง
1.4 ข้อความ ให้อ้างเหตุที่ออกคำสั่ง
และอ้างถึงอำนาจที่ให้ออกคำสั่ง (ถ้ามี) ไว้ด้วย และวัน
เดือน ปี ที่ใช้เริ่มบังคับ
1.5 สั่ง ณ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออก
1.6 ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อผู้ออกคำสั่ง
และพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
1.7 ตำแหน่ง ให้ลงตำแหน่งของผู้ออกคำสั่ง
ตัวอย่างแบบคำสั่ง
2. ระเบียบ บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ได้วางไว้
โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็ได้ เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติงานเป็นประจำ
ใช้กระดาษตราครุฑ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 ระเบียบ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกระเบียบ
2.2 ว่าด้วย ให้ลงชื่อของระเบียบ
2.3 ฉบับที่ ถ้าเป็นระเบียบที่กล่าวถึงเป็นครั้งแรกในเรื่องนั้นไม่ต้องลงว่าเป็นฉบับที่เท่าไร
แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันแต่มีการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ลงเป็นฉบับที่๒ ๓ หรือ ๔
ตามลำดับ)
2.4 พ.ศ. ให้ลงตัวเลขปีพุทธศักราชที่ออกระเบียบ
2.5 ข้อความ ให้อ้างเหตุผลโดยย่อ
เพื่อแสดงถึงความมุ่งหมายที่ต้องการออกระเบียบ
และอ้างถึงกฎหมายที่ให้อำนาจออกระเบียบ (ถ้ามี)
2.6 ข้อความ ให้เรียงข้อความที่จะใช้เป็นข้อ
ๆ โดย ข้อ ๑ เป็นระเบียบ ข้อ ๒ เป็นวันที่ใช้บังคับ (กำหนดว่าใช้บังคับเมื่อใด
ส่วนข้อสุดท้ายเป็นผู้รักษาระเบียบ ถ้ามีมากข้อหรือหลายเรื่องจะแบ่งเป็นหมวดก็ได้
โดยให้เลื่อนข้อผู้รักษาการไปเป็นข้อสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นหมวดหนึ่ง
2.7 ประกาศ
ณ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขปีพุทธศักราชที่ออกบังคับ
2.8 ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อผู้ออกระเบียบหรือข้อบังคับ
และพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
2.9 ตำแหน่ง ให้ลงตำแหน่งของผู้ออกระเบียบหรือข้อบังคับนั้น
ตัวอย่างแบบระเบียบ
3. ข้อบังคับ คือ
บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดให้ใช้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่บัญญัติให้กระทำได้
ใช้กระดาษตราครุฑและให้จัดทำตามแบบที่
6 ท้ายระเบียบ โดยกรอกรายละเอียดดังนี้
3.1 ข้อบังคับ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกข้อบังคับ
3.2 ว่าด้วย ให้ลงชื่อของข้อบังคับ
3.3 ฉบับที่ถ้าเป็นข้อบังคับที่กล่าวถึงเป็นครั้งแรกในเรื่องนั้น
ไม่ต้องลงว่าเป็นฉบับที่เท่าใด แต่ถ้าเป็นข้อบังคับ
เรื่องเดียวกันที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้ลงเป็นฉบับที่
2 และที่ถัด ๆ ไปตามลำดับ
3.4 พ.ศ. ให้ลงตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกข้อบังคับ
3.5 ข้อความ ให้อ้างเหตุผลโดยย่อเพื่อแสดงถึงความมุ่งหมายที่ต้องออกข้อบังคับและอ้างถึงกฎหมาย
ที่ให้อำนาจออกข้อบังคับ
3.6 ข้อ ให้เรียงข้อความที่จะใช้บังคับเป็นข้อ
ๆ โดยให้ ข้อ 1 เป็นชื่อข้อบังคับ ข้อ 2 เป็นวันใช้บังคับกำหนดว่า
ให้ใช้บังคับตั้งแต่เมื่อได้และข้อสุดท้ายเป็นข้อผู้รักษาการข้อบังคับใดถ้ามีมากข้อหรือหลายเรื่องจะแบ่งเป็นหมวดก็ได้โดยให้ย้ายข้อผู้รักษาการไปเป็นข้อสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นหมวด
1
3.7 ประกาศ ณ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกข้อบังคับ
3.8 ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อผู้ออกข้อบังคับ
และพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
3.9 ตำแหน่ง ให้ลงตำแหน่งของผู้ออกข้อบังคับ
ตัวอย่างแบบข้อบังคับ
หนังสือประชาสัมพันธ์
หนังสือประชาสัมพันธ์
ให้ใช้ตามแบบที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดแบบไว้โดยเฉพาะ
หนังสือประชาสัมพันธ์มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว
1 ประกาศ คือ
บรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศหรือชี้แจงให้ทราบ หรือแนะแนวทางปฏิบัติ
ใช้กระดาษตราครุฑ
และให้จัดทำตามแบบที่
7 ท้ายระเบียบ โดยกรอกรายละเอียดดังนี้
1.1 ประกาศ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกประกาศ
1.2 เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ประกาศ
1.3 ข้อความ ให้อ้างเหตุผลที่ต้องออกประกาศและข้อความที่ประกาศ
1.4 ประกาศ ณ วันที่ ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือนและตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกประกาศ
1.5 ลงชื่อ ให้ลงลายมือชื่อออกประกาศ
และพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ
1.6 ตำแหน่ง ให้ลงตำแหน่งของผู้ออกประกาศ
ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ทำเป็นแจ้งความ ให้เปลี่ยนคำว่าประกาศ เป็นแจ้งความ
ตัวอย่างแบบประกาศ
2 แถลงการณ์ คือ
บรรดาข้อความที่ทางราชการแถลงเพื่อทำความเข้าใจในกิจการของทางราชการหรือเหตุการณ์
หรือกรณีใด ๆ ให้ทราบชัดเจนโดยทั่วกันใช้กระดาษตราครุฑและให้จัดทำตามแบบที่ 8
ท้ายระเบียบ โดยกรอกรายละเอียดดังนี้
2.1 แถลงการณ์ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกแถลงการณ์
2.2 เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ออกแถลงการณ์
2.3 ฉบับที่ ใช้ในกรณีที่จะต้องออกแถลงการณ์หลายฉบับในเรื่องเดียวที่ต่อเนื่องกันให้ลงฉบับที่เรียงตามลำดับไว้ด้วย
2.4 ข้อความ ให้อ้างเหตุผลที่ต้องออกแถลงการณ์และข้อความที่แถลงการณ์
2.5 ส่วนราชการที่ออกแถลงการณ์ ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกแถลงการณ์
2.6 วัน
เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกแถลงการณ์
ตัวอย่างแบบแถลงการณ์
3.
ข่าว คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ ให้จัดทำตามแบบที่ 9
ท้ายระเบียบโดยกรอก รายละเอียดดังนี้
3.1 ข่าว ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกข่าว
3.2 เรื่อง ให้ลงชื่อเรื่องที่ออกข่าว
3.3 ฉบับที่ ใช้ในกรณีที่จะต้องออกข่าวหลายฉบับในเรื่องเดียวที่ต่อเนื่องกัน
ให้ลงฉบับที่เรียงตามลำดับไว้ด้วย
3.4 ข้อความ ให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของข่าว
3.5 ส่วนราชการที่ออกข่าว ให้ลงชื่อส่วนราชการที่ออกข่าว
3.6 วัน เดือน ปี ให้ลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือน
และตัวเลขของปีพุทธศักราชที่ออกข่าว
ตัวอย่างแบบข่าว
หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ
หนังสือที่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานจัดทำขึ้นตามอำนาจหน้าที่
หรือหนังสือที่บุคคล
ภายนอกทำขึ้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ได้รับไว้เป็นหลักฐานของทางราชการ
ชื่อว่า “หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ”
มี 4 ชนิด คือ หนังสือรับรอง รายงานการประชุม
บันทึก และ หนังสืออื่น
1.หนังสือรับรอง คือ
หนังสือที่ส่วนราชการออกให้เพื่อรับรองแก่บุคคล นิติบุคคล หรือส่วนราชการ
เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง มีรายละเอียดดังนี้
1.1 เลขที่ ให้ลงเลขที่เริ่มแต่ ๑
เป็นต้นไปจนสิ้นปีปฏิทิน
1.2 ส่วนราชการเจ้าของหนังสือ ให้ลงชื่อส่วนราชการ
และจะลงที่ตั้งด้วยก็ได้
1.3 ข้อความ ให้ลงข้อความขึ้นต้นว่า “หนังสือฉบับนี้ ให้ไว้เพื่อรับรองว่า” แล้วต่อชื่อบุคคล
นิติบุคคล หรือหน่วยงานที่ทางราชการรับรอง เฉพาะบุคคล ใช้ระบุคำนำหน้านาม ชื่อ
นามสกุล ตำแหน่งหน้าที่ สังกัดหน่วยงาน แล้วจึงลงข้อความ
1.4 ให้ไว้ ณ วันที่ ให้ลงเลขบอกวันที่
ชื่อเต็มของเดือน และเลขบอก พ.ศ.
1.5 ลงชื่อ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับในระเบียบ
1.6 ตำแหน่ง ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับในระเบียบ
1.7 รูปถ่ายและลายมือชื่อผู้ได้รับการรับรอง ใช้ในกรณีที่สำคัญซึ่งออกให้แก่บุคคล
ให้ติดรูปถ่ายของผู้ได้รับการรับรอง ขนาด 4 ´ 6 ซม. หน้าตรง
ไม่สวมหมวกประทับตราชื่อส่วนราชการบนขอบด้านขวามือของรูปถ่าย
ให้ลงชื่อผู้ได้รับการรับ รองลงลายมือชื่อไว้ด้านล่างและมีชื่อเต็มด้วย
ตัวอย่างแบบหนังสือรับรอง
2.รายงานการประชุม คือ การบันทึกเหตุการณ์ในที่ประชุมความคิดเห็นของผู้มาประชุม
ผู้เข้าร่วมประชุมและมติของที่ประชุมไว้เป็นหลักฐาน มีรายละเอียดดังนี้
2.1 รายงานการประชุม ให้ลงชื่อคณะที่ประชุม
หรือชื่อการประชุม
2.2 ครั้งที่ ให้ลงครั้งที่ประชุม
2.3 เมื่อ ให้ลง วัน เดือน ปี ที่ประชุม
2.4 ณ ให้ลงสถานที่ที่ประชุม
2.5 ผู้มาประชุม ให้ลงชื่อหรือตำแหน่งของผู้ที่เป็นคณะที่ประชุมซึ่งมาประชุม
ถ้ามีผู้มาประชุมแทน ให้ลงระบุว่ามาประชุมแทนผู้ใดหรือตำแหน่งใด
2.6 ผู้ไม่มาประชุม ให้ลงชื่อและตำแหน่งผู้เป็นคณะที่ประชุมซึ่งมิได้มาประชุมพร้อมทั้งเหตุผลมี่ไม่มาประชุม
2.7 ผู้เข้าร่วมประชุม ให้ลงชื่อและตำแหน่งของผู้ที่มิได้เป็นคณะที่ประชุม
แต่มาร่วมประชุม
2.8 เริ่มประชุมเวลา ให้ลงเวลาที่เริ่มประชุม
2.9 ข้อความ ให้บันทึกข้อความที่ประชุม ให้เริ่มด้วยประธานกล่าวเปิดประชุม
และเรื่องที่ประชุมหรือระเบียบวาระการประชุมพร้อมทั้งมติหรือข้อสรุปของที่ประชุมแต่ละเรื่องตามลำดับ
2.10 เลิกประชุมเวลา ให้ลงเวลาเลิกประชุม
2.11 ผู้จดรายงานการประชุม ให้ลงชื่อผู้จดรายงานการประชุม
2.12 ผู้รับรองรายงานการประชุม หมายถึง
ประธานที่ประชุมซึ่งลงนามรับรองในเมื่อที่ประชุมรับรองรายงานการประชุมนั้นแล้ว
ตัวอย่างแบบรายงานการประชุม
3. บันทึก คือ ข้อความซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บังคับ
บัญชาสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา หรือข้อความที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานต่ำกว่าระดับกรมติดต่อ
กันในการปฏิบัติราชการ โดยปกติให้กำหนดใช้กระดาษบันทึกข้อความ มีรายละเอียดดังนี้
3.1 ชื่อหรือตำแหน่งที่บันทึกถึง โดยใช้คำขึ้นต้นตามความเหมาะสม
3.2 สาระสำคัญของเรื่อง ให้ลงใจความของเรื่องที่บันทึก
ถ้ามีเอกสารประกอบให้ระบุไว้ด้วย
3.3 ชื่อและตำแหน่ง ให้ลงลายมือชื่อและตำแหน่งของผู้บันทึก
และในกรณีที่ไม่ใช้กระดาษบันทึกข้อความ ให้ลงวัน เดือน ปี ที่บันทึกไว้ด้วย
ตัวอย่างแบบบันทึก
4. หนังสืออื่นๆ คือหนังสือหรือเอกสารอื่นใดที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นเพื่อ
เป็นหลักฐานใน ทางราชการ รวมถึง ภาพถ่าย ฟิล์ม เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ
หรือหนังสือที่บุคคลภายนอกทำขึ้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่รับเข้าทะเบียนของทางราชการ
หนังสือดังกล่าวนี้
มีแบบตามที่หน่วยงานแต่ละหน่วยจะกำหนดขึ้น เว้นแต่ที่มีแบบตามกฎหมายกำหนด เช่น
โฉนด แผนที่ แบบ แผนผัง สัญญา หลักฐานการสืบสวนและสอบสวน และคำร้องเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่